ฟรีฟอร์ม 11 # ฉบับ เมษายน

จากเหตุการณ์เดียวกับ “น้อย วงพรู” และ “เสก โลโซ” ที่เคยปรากฏเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ไทยทุกฉบับและโทรทัศน์ไทยทุกช่องเมื่อกลางปีที่แล้ว ณ ลินคอล์น เซ็นเตอร์ (Lincoln Center for Performing Arts) ประเทศสหรัฐอเมริกา

ยังมีอีกบางประเด็นที่เป็นข่าวฮือฮาน้อยกว่า
แต่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมากในหมู่ผู้คนในแวดวงศิลปะ

นั่นคือผลงานการแสดงชุด "รามเกียรติ์ ตอน นางลอย นาฏกรรมแห่งรัก แอนด์ โรล" (Ramakien : A Rak Opera) ในเทศกาลลินคอล์น เซ็นเตอร์ ซัมเมอร์ เฟสติวัล เมื่อปี 2549

การแสดงชุดนี้ เป็นผลงานศิลปะการแสดงนาฏศิลป์ประยุกต์ของศิลปินไทยชุดหนึ่ง ที่นำศิลปินไทย จำนวนกว่าหกสิบชีวิต มาร่วมกันสร้างสรรค์งานทดลอง ((EXpreimental Performance) โดยมีก้อนอิฐและดอกไม้จำนวนมากเป็นรางวัลความสำเร็จ

ในท่ามกลางก้อนอิฐและดอกไม้เหล่านั้น
ยังมีผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่เบื้องหลัง

ผู้ชายคนนี้คือ ฤกษ์ฤทธิ์ ตีระวนิช ผู้กำกับการแสดงชุดนี้

ไม่ใช่ครั้งแรก ที่ ฤกษ์ฤทธิ์ ตีระวนิช ตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ทั้งในแวดวงศิลปะไทยและเทศ หากย้อนกลับไปหลายปีก่อน ในมหานครนิวยอร์ก ครั้งนั้นฤกษ์ฤทธิ์ ก็เคยสร้างกระแสฮือฮา ด้วยการนำเสนอแนวคิดใหม่เกี่ยวกับศิลปะ นั่นคือทำ ‘ผัดไทย’ เป็นงานศิลปะ แจกให้กับผู้ชมในหอศิลป์ได้ลองลิ้มชิมรส ครั้งนั้นดูจะเปิดประเด็นเกี่ยวกับ “อะไรคือศิลปะ” ให้ถกเถียงกันในแวดวงอยู่พักใหญ่ทีเดียว

ในปี 2541 ณ หมู่บ้านเหมืองฟู ตำบลน้ำบ่อหลวง อำเภอสันป่าตอง เชียงใหม่ เคยมีโครงการแปลกๆ โครงการหนึ่งเกิดขึ้นมา นั่นคือโครงการ “ที่นา” ( The Land) อันเป็นการสร้างสถานที่สำหรับเป็นแหล่งชุมนุมของศิลปินทั้งหลาย ให้มารวมตัวกันใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่หนึ่ง และดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติ ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำปะปา และเครื่องอำนวยความสะดวกใด นอกจากจะเป็นผู้ก่อตั้งโครงการนี้แล้ว ฤกษ์ฤทธิ์ ตีระวนิช ก็คือศิลปินอีกผู้หนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่ใน “ที่นา” แห่งนี้

ไม่เพียงแต่สร้างปรากฏการณ์ในแวดวงศิลปะเท่านั้น แต่ในวงการสิ่งพิมพ์ของเมืองไทย ฤกษ์ฤทธิ์ ตีระวนิช ก็เคยปรากฏตัวในฐานะบรรณาธิการนิตยสารไทยเล่มหนึ่ง ชื่อ “เวอร์ แมกกาซีน” (VER Magazine) ครั้งนั้น เวอร์ แมกกาซีน ก็ได้รับการจารึกไว้ในประวัติศาสตร์แห่งการพิมพ์ไทยว่า มันคือนิตยสารเล่มแรก (หรืออาจจะเป็นเล่มสุดท้าย) ของเมืองไทย ที่มีแต่ภาพและเสียง โดยไม่มีตัวหนังสือเลยแม้แต่ตัวเดียว!

ในฐานะผู้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะ ฤกษ์ฤทธิ์ ตีระวนิช เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ ในฐานะศิลปิน Conceptual ที่นิยมนำเสนอแนวความคิดในการทำงานศิลปะด้วยการผสมผสานสื่อหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นงานศิลปะเกี่ยวกับเวลา (Time Art) เพอร์ฟอร์แมนซ์ (Performance) เสียง (Sound) ภาพยนตร์เรียลไทม์ (Real Time Movie) รวมถึงวิดีโอศิลปะ (Video Art)

ฤกษ์ฤทธิ์เคยแสดงผลงานศิลปะเดี่ยวและกลุ่มในพิพิธภัณฑ์ชื่อดังของโลกมาแล้วหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็น Museum of Modern Art, Guggenheim Museum, Rotterdam, Paris, Lyon Biennale, Berlin, Istanbul, Gwangju, Sydney รวมทั้งเคยทำหน้าที่ร่วมเป็นภัณฑารักษ์ (Curator) ในเทศกาลศิลปะนานาชาติเวนิซ เบียนนาเล่ Utopia Station

ฤกษ์ฤทธิ์ ตีระวนิช เคยได้รับเลือกจากมูลนิธิ Hugo Boss และ Guggenheim Museum ในนิวยอร์ก ให้ได้รับรางวัล Hugo Boss Prize ฐานะศิลปินผู้มีความโดดเด่นในการสร้างสรรค์ผลงานในปี 2547 และมีผลงานได้รับการเก็บรักษาอยู่ในสถาบันศิลปะของโลกมากกว่า 50 แห่ง รวมถึง The Museum of Modern Artในนิวยอร์ก, The Museum of Contemporary Art ในลอสแองเจลีส หรือ The FNAC (Fond National d’Art Contemporain) ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

ปัจจุบัน ฤกษ์ฤทธิ์ ตีระวนิช ยังพำนักอยู่ในนิวยอร์ก รวมทั้งยังสอนหนังสือ วิชาทัศนศิลป์ (Visual Art) อยู่ในมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย สหรัฐอเมริกา และยังเดินทางมากรุงเทพฯเป็นครั้งคราว เพื่อดูแลเวอร์ แกลเลอรี่ สถานที่แสดงผลงานศิลปะสำหรับคนทั่วไป รวมทั้งเป็นสตูดิโอทำงานส่วนตัวไปพร้อมกัน

พวกเราทีมงานนิตยสารฟรีฟอร์ม มีโอกาสได้นั่งสนทนากับฤกษ์ฤทธิ์ ตีระวนิช ในวันที่เขาเพิ่งเดินทางกลับมาจากประเทศกัมพูชา และกำลังจะเดินทางไปแอฟริกาในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า โดยมีค็อกเทลรสดีในมือไว้คอยจิบดับกระหาย ด้วยเหตุนี้ จึงเลี่ยงไม่ได้เลยที่บทสนทนาของเรา จะต้องเริ่มต้นไปพร้อมๆ กับค็อกเทลแก้วแรก …และอีกหลายแก้ว


คมคิดของฤกษ์ฤทธิ์ ตีระวนิช
บางเสี้ยวจากบทสัมภาษณ์



"เราจะเผา เพื่อพิสูจน์ว่า
นี่มันเป็นภาพลวงตา ไม่ใช่ความจริง
แล้วก็ตื่นได้แล้วทุกคน!"

"บ้านเราขี้ขลาด ยิ่งคนที่อยู่ในบางสถานที่ บางตำแหน่งในบางสถาบันขี้กลัว กลัวว่าภาพจะไม่ดี ภาพจะเสีย แต่ว่าจริงๆ แล้วมันเป็นความคิดที่ผิด"

"อย่างอาจารย์บรูซ อย่างพิเชษฐ์ เป็นคนทำงานเกี่ยวข้องกับศิลปวัฒนธรรมไทยโดยตรง เขาก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นการเสื่อมเสีย คือเขาก็รู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ และเขาก็รู้ว่าเรากำลังจะไปทางไหน ไม่ใช่ว่าเราทำไปโดยไม่รู้เรื่อง ไม่ได้มีความคิด เราไม่ได้ทำอะไรแบบอีลุ่ยชุ่ยช่าย ไม่ได้ทำอะไรทุเรศ"


"เราคิดแบบคนไทย ไม่มีทางเหมือนฝรั่ง งานผัดไทยก็เป็นส่วนหนึ่งของความคิดนี้"

"การทำกับข้าวมันก็ไม่ใช่สิ่งที่แปลกใหม่ เพราะว่าศิลปินก็คลุกคลีอยู่กับอาหาร แล้วก็มีศิลปินที่เขาใช้อาหารมาก่อน ไม่ได้หมายถึงว่าใช้อาหารจริงๆ มาเสิร์ฟ แต่เป็นกระบวนการในการทำงาน เป็นเพอร์ฟอร์มมานซ์ เขาก็เคยทำมาก่อน แต่ว่าเหตุผลไม่เหมือนกัน"

"สถาบันการศึกษาในระบบศิลปะที่เป็นอยู่น่ะ มันไม่จำเป็น"

"การศึกษาให้คนเรียนรู้ว่า การใช้พู่กัน การใช้สีเป็นยังไง แต่ตรงนี้เราเรียนจากชั้นมัธยมก็ได้ อย่างระบบอาคาเดมี ที่เข้าไปเรียนวิธีการ เรียน Strategy เรียนการวางแผนว่าจะทำอย่างไรให้เป็นศิลปินที่โด่งดังได้ หรือว่าทำเงินได้ หรือว่าให้มีอะไรที่เด่นขึ้นมา อันนี้มันเป็นความคิดที่ผิดๆ ของสถาบัน"


"เคยเซ็นชื่อลงบน painting คือไอ้การเซ็นชื่อเนี่ยสำคัญ เพราะว่าถ้าจะเป็นงานศิลปะได้ ก็ต้องมีคนเซ็น มีนามธรรมของคนนั้นมาใส่ เหมือนกับเป็นโลโก้ เดี๋ยวนี้ทุกคนก็ชาแนล หรือหลุยส์ วิตตอง ก็เหมือนกัน ทุกคนต้องการชื่อ แล้วชื่อนี้ก็จะเนรมิตให้มันเป็นสิ่งสำคัญขึ้นมาได้"

"ศิลปะคือภาพลวงตา แต่เราจะทำภาพลวงตาไปเรื่อยๆ ได้ไหม
ในเมื่อทุกอย่างในโลกเรานี้เป็นภาพลวงตา"



นิตยสารฟรีฟอร์ม # 11 ฉบับเดือนเมษายน วางจำหน่ายวันที่ 5 เมษายน ที่ร้านฟาสเตอร์บุ๊ค ทุกสถานีรถไฟฟ้า และร้านซีเอ็ดบุ๊คเซ็นเตอร์ทั่วประเทศ ร้านบุ๊คสไมล์-เซเว่นอีเลฟเว่น หาอ่านไม่ได้กริ๊งกร๊างมาที่ 0-2664-4256-7

หรือแวะเวียนไปที่ งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 10 เมษายน 2550 ก็เจอนิตยสารฟรีฟอร์มของเราได้ทุกฉบับ (ฉบับเมษาล่าสุด เจอหลังวันที่ 5 นะค้าบบ) ที่บูธอัลเทอร์เนทีฟไรเตอร์,บลูสเกล ,เคล็ดไทย ,ฟูลสตอป คมบาง ฯลฯ











freeform magazine